ธรรมชาติคือความสมดุล
สุขภาพที่ดีต้องประกอบด้วยความสมดุลของการกิน พักผ่อน และออกกำลังกาย สมดุลในที่นี้หมายถึงมีความพอดี สอดคล้อง ไม่หักโหมไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งมากเป็นพิเศษ คนรักตัวเองฟังแล้วอาจจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินการปฏิบัติ เพียงแค่เพิ่มความใส่ใจและมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตอีกหน่อยเท่านั้น
* การกิน คนเราต้องการพลังงานจากอาหารวันละ 3 มื้อ แต่ละมื้อจึงควรบริโภคอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่คาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีน นอกจากนี้ยังควรได้รับไฟเบอร์หรือเส้นใย น้ำ รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เพียงพอต่อการนำไปใช้ การบริโภคมากกว่าการนำไปใช้ย่อมทำให้เกิดการสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน
* พักผ่อน กินเพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารที่ต้องการอย่างเพียงพอแล้ว ร่างกายยังต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอด้วย ในเมื่อทำงานมาตลอดวัน รีดออกมาทั้งพลังสมองและกำลังกาย พอตกค่ำก็ต้องนอนหลับให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การทำงานหนักแต่นอนน้อยจึงทำให้ร่างกายทรุดโทรมและไม่ผอม เพราะร่างกายที่ขาดการพักผ่อนจะเร่งการเผาผลาญมากขึ้น ทำให้คุณรู้สึกหิวกว่าปกติ และกระหายน้ำตาลจนน่ากลัวในวันรุ่งขึ้น
* ออกกำลังกาย รู้ดีว่าการออกกำลังกายมีคุณประโยชน์กับสุขภาพมากมาย ตั้งแต่ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ช่วยกระชับกล้ามเนื้อ สร้างความกระฉับกระเฉง สดใส มีความสุข ร่างกายแข็งแรง นอนหลับสบาย และช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเอง
การออกกำลังกายแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ช่วยเพิ่มอัตราการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เต้นรำ หรือกระโดดเชือก เพื่อบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกนานครั้งละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง การออกกำลังกายประเภทที่ 2 ได้แก่ การบริหารความแข็งแกร่ง ได้แก่การยกน้ำหนักและเวทเทรนนิ่งต่างๆ ประเภทสุดท้ายคือ การฝึกความยืดหยุ่นของร่างกาย ได้แก่ การฝึกโยคะ พิลาทิส ฟิตบอล และไทชิ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น คล่องแคล่ว สงบ และมีสมาธิ
ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ
ถ้าสมมติฐานที่ว่าความอ้วนและสุขภาพที่เสื่อมโทรมมาจากการใช้ชีวิตแบบฝืนธรรมชาติ ระหว่างที่คุณพยายามจัดระเบียบและปรับชีวิตทั้ง 3 ส่วนให้กลับสู่ความสมดุลตามธรรมชาติ ทำไมไม่ลองลดความอ้วนด้วยวิธี “ธรรมชาติบำบัด” ไปพร้อมๆ กันล่ะคะ!
นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กล่าวไว้ข้อหนึ่งว่า วิธีลดความอ้วนด้วยธรรมชาติบำบัด ที่สำคัญคือ ต้องออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร ก่อนจะแนะนำสูตรควบคุมอาหาร ซึ่งมีให้เลือกปฏิบัติตามแต่ความถนัดของแต่ละคน
1. ไม่กิน(ข้าว) มื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ
2. อดอาทิตย์ละวัน เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก
3. อดด้วยน้ำผลไม้ 3 วัน วิธีการคล้ายกับสูตรที่ 2 เพียงแต่เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด ติดต่อกัน 3 วัน
4. อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน เริ่มจาก 2 วันแรกกินแต่ผลไม้ ต่อจากนั้นกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม
5. กินเนื้อกับผัก สูตรนี้เข้าข่ายการกินแบบ “พร่องแป้ง” หรือ “โลว์-คาร์บ(Low-Carb)” คือกินได้ทุกอย่าง โดยแตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุด โดยกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อ
แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพเดียวกับภาวะอดอาหาร จนต้องไปดึงพลังงานส่วนเกินที่เก็บสำรองไว้มาใช้ก็จริง แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วย
หากคุณมีความพยายามจริงจัง จะใช้ทั้ง 5 วิธีผสมผสานกันก็ได้ แต่ควรคำนึงว่าผักและผลไม้ที่จะกินควรมีความใหม่สดและผ่านการล้างอย่างสะอาดดีแล้ว ส่วนจะกินแบบนี้อยู่นานแค่ไหนก็ให้ติดตามจากผลของน้ำหนักตัวว่าได้ตามที่ต้องการแล้วหรือยัง เมื่อพอใจแล้วก็ค่อยๆ ปรับเพิ่มแป้งทีละนิด อย่างไรก็ตามแม้จะกลับมากินเหมือนเดิมแล้ว ก็ยังควรดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสกัดไม่ให้ไขมันกลับมาพอกพูนใหม่ได้ง่ายๆ อีก
สำหรับสัดส่วนของอาหารปกติหลังจากเข้าโปรแกรมกินเนื้อ-กินผักแล้วนั้น ควรเป็นการกินตามแนวธรรมชาติบำบัดคือ แต่ละวันกินข้าวกล้อง 3 มื้อ ผักสด 2 จาน ผลไม้ 2 ผล(ขนาดเท่ากับผลแอ็ปเปิ้ล) น้ำผลไม้คั้นสด 1 แก้ว กินเนื้อสัตว์วันละไม่เกิน 1 ฝ่ามือ อาหารไขมัน(จำพวกผัดและทอด) วันละไม่เกิน 2 อย่าง พร้อมๆ กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม มีรูปร่างที่สมส่วน และสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงมากขึ้น
เห็นไหมว่าการลดน้ำหนักแบบธรรมชาติบำบัดทำไม่ยาก ไม่ต้องอดจนหิวไส้กิ่ว ไม่ต้องใช้เงิน ยา หรืออาหารเสริมลดความอ้วนเลย แค่ปฏิบัติตามสูตรเพื่อรูปร่างแข็งแรงและสุขภาพที่ดีขึ้น มีข้อดีมากมายอย่างนี้จะไม่ทดลองลดกันดูบ้างหรือคะ?
เคล็ดลับการกินของสาวหุ่นดี
* เพิ่มผัก ถ้าอยากผิวสวยและรูปร่างฟิตเฟิร์มแบบ น้องฟ้า-นาตาลี เกลโบวา อดีตมิสยูนิเวิร์ส หวานใจ ภราดร ศรีชาพันธุ์ ต้องเพิ่มผักทุกมื้อ นาตาลีบอกว่าไม่ว่าจะเป็นผักดิบหรือผักสุกก็มีแคลอรีน้อย แต่กินพื้นที่ในกระเพาะมาก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทั้งยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยระบบการย่อย และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
* วันละ 2 มื้อ ซูเปอร์โมเดล ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม เผยเคล็ดลับในการกินรักษาเชฟว่า จะไม่กินอะไรหลังหกโมงเย็น ลูกเกดเริ่มวันด้วยมื้อเช้า เธอชอบดื่มน้ำผัก-ผลไม้ที่คั้นแยกกากกับขนมปังโฮลวีต มื้อกลางวันสามารถกินได้ตามต้องการ แต่ถ้าเลือกได้จะกินก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเบาท้องกว่าข้าว นับๆ ดูแล้วลูกเกดจึงกินเป็นเรื่องเป็นราวแค่วันละ 2 มื้อเท่านั้น
กำลังลด ต้อง "งด" ก่อน
* ข้าวทุกชนิด ไม่ว่าจะข้าวสวย ข้าวเหนียว ข้าวต้ม แม้แต่ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ซึ่งแม้จะมีประโยชน์มาก แต่ตอนที่กำลังลด ต้องงดก่อน ได้น้ำหนักที่พอใจเมื่อไหร่ค่อยกลับมากินข้าวกล้อง
* แป้งทุกชนิด ไม่ว่าจะขัดขาวหรือไม่ขัดขาว นอกจากนี้ไม่เฉพาะขนมปัง แต่ยังรวมถึงขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า และวุ้นเส้นด้วย
* น้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งน้ำตาลเทียม ซึ่งแม้จะไม่ให้พลังงานแต่ก็จัดเป็นอาหารขยะประเภทหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปก็รังแต่จะไปเพิ่มภาระให้ร่างกาย ทำให้รู้สึกหิวบ่อยยิ่งขึ้น
* ผลไม้ทุกชนิด แม้ผลไม้หลายชนิดจะไม่มีรสหวาน แต่ก็ประกอบด้วยแป้ง ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ เช่นเดียวกับข้าว ซึ่งแม้ไม่หวานแต่ก็มีแป้งมาก
* ถั่วทุกชนิด ถั่วประกอบด้วยโปรตีน 1 ส่วน แป้งอีก 1 ส่วน การกินถั่วมากๆ จึงเพิ่มปริมาณแป้งให้กับร่างกายโดยไม่รู้ตัว ช่วงที่กำลังลดให้ได้น้ำหนักตัวที่พอใจจึงควรเลี่ยงถั่วทุกชนิด รวมทั้งน้ำเต้าหู้ด้วย อย่างไรก็ตามเต้าหู้ ซึ่งผ่านกระบวนการที่สกัดแป้งออกไปหมด เหลือเพียงส่วนของโปรตีนล้วนๆ นั้นสามารถกินได้
* นม และผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด แม้จะเป็นนมจืด หรือเพลนโยเกิร์ต เพราะในนมวัวมีน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนประกอบอยู่ ส่วนนมพร่องไขมันนั้นก็ถูกนำไขมันออกไปเพียงส่วนเดียว ยังเหลือคอเลอเตอรอลสูง ๆ และไขมันอิ่มตัวที่ทำให้อ้วนได้อยู่ ช่วงนี้ควรงดไปก่อน
ขอขอบคุณ women.sanook.com
การลดน้ำหนักแบบเป็นธรรมชาตินั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดเลยครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากๆ เป็นประโยชน์มากๆเลยครับ
ReplyDelete